ถ้าอยากรู้ว่าคุณเป็นนักวางแผนหรือเป็นคนคิดมากนั้น...มีเส้นบางๆกั้นระหว่างสองคำนี้ค่ะ
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างนักวางแผนที่ดีและคนที่คิดมากและวิตกกังวลจนเกินไป นั่นก็คือมักจะคิดถึงอนาคตที่ยังไม่เกิด คิดว่าถ้าเกิดแบบนี้แบบนั้นจะทำอย่างไร แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างมากสำหรับคนสองกลุ่มนี้คือ นักวางแผน จะประเมินสถานการณ์รอบด้าน ใช้ข้อมูลทั้งอดีต ปัจจุบัน มาวางแผนอนาคตบนพื้นฐานของอารมณ์ที่มั่นคงหนักแน่น มีตรรกะและไม่คิดวนซ้ำซาก ส่วนคนที่คิดมากนั้น จะมีความสามารถมองหาแต่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตและเป็นด้านลบซะส่วนใหญ่และก็คิดไปต่างๆนานาว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป คิดวนไปวนมาอยู่ในอ่าง ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม....
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เหมือนกับการที่คุณกำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังอนาคตของคุณ กล้องส่องทางไกลแน่นอนทำให้คุณมองไปได้ไกลมาก แต่ภาพที่เห็นจะเล็กนิดเดียว เปรียบเสมือนคุณสามารถคิดถึงอนาคตไปได้ต่างๆนานา แต่สิ่งที่คิดเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆของชีวิต ยังมีองค์ประกอบอื่นๆอีกมากมายที่รายล้อมเหตุการณ์นั้น อนาคตสามารถเกิดขึ้นได้เป็นร้อยเป็นพัน คนที่วิตกกังวลเกินเหตุจะวนคิดแต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นที่มักเป็นด้านลบและหาวิธีรับมือกับมัน บางคนยิ่งรู้มากยิ่งคิดมาก.... และโค้ชบอกไว้ตรงนี้ได้เลยค่ะ "เสียเวลาชีวิตมาก"....คุณไม่มีทางหาวิธีรับมือกับทุกสถานการณ์ได้หมดหรอกค่ะ ความเป็นไปได้มีมากมาย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ดังนั้นสิ่งที่นักวางแผนทำคือหาความเป็นไปได้ที่จับกลุ่มออกมาเหลือแค่ 2-3 อย่าง และหาวิธีรับมือกับมันโดยไม่มีอารมณ์เข้าไปตัดสินด้วย จะทำให้มองอนาคตด้วยความเป็นกลาง มีสติ และเห็นทางแก้ที่ชัดเจน เป็นไปได้ค่ะที่สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่สิ่งที่คาดไว้ แต่เราจะมัวไปเสียเวลาคิดสิ่งที่เราก็ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นไปทำไม สู้เอาเวลามาทำวันนี้ให้ดีที่สุดจะดีกว่า พัฒนาตัวเอง เตรียมความสามารถและจิตใจให้พร้อมกับการผันแปรในอนาคตย่อมดีกว่าเป็นพันเท่า
ชีวิตคิดบวกและการดำเนินชีวิตที่มีสติจะทำให้คุณก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงค่ะ