ฉันเคยใช้คำว่า “โค้ช” และ “healer” มานานหลายปี เพราะมันเป็นภาษาที่ง่ายที่สุดในตอนนั้น ที่จะอธิบายสิ่งที่ฉันทำ
ฉันช่วยผู้คนเข้าใจตัวเองมากขึ้น ช่วยปลดล็อกบางอย่างที่ติดอยู่ข้างใน
บางครั้งฉันฟังเขาในจุดที่เขาไม่เคยได้ฟังตัวเองเลย และบางครั้ง ฉันก็ช่วยเปลี่ยนคลื่นบางอย่างในใจเขา
ที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือเหตุของความเหนื่อย ความหน่วง และความวนทั้งหมดในชีวิต
แต่นานเข้า…ฉันเริ่มรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในทุก session มันไม่ใช่แค่การโค้ชชิ่ง และมันก็ไม่ใช่ healing อย่างที่ใครเข้าใจ
ฉันพูด...
ฉันถาม...
ฉันสะท้อน...
และบางครั้งฉันก็พูดเยอะพอสมควร
แต่สิ่งที่ฉันพูด ไม่ได้มีไว้ให้ใครเชื่อตาม มันมีไว้ให้ “บางจุดในตัวเขาเริ่มขยับ” โดยไม่รู้ตัว
บางครั้งฉันช่วยแปลภาษาที่ความรู้สึกพยายามจะพูดออกมา
บางครั้งฉันสะท้อนความจริงที่เขามองไม่เห็น
และหลายครั้ง ฉันพูดในจังหวะที่จิตของเขาพร้อมจะได้ยิน
ไม่ใช่เพื่อโน้มน้าว…แต่เพื่อเปิดช่องให้เขากลับมาเจอตัวเองได้ลึกกว่าเดิม
ฉันจึงเริ่มวางคำว่า “โค้ช” และ “healer” ลง ไม่ใช่เพราะมันไม่ดี แต่มันอธิบายสิ่งที่ฉันทำ “ไม่พออีกต่อไปแล้ว”
ฉันไม่ได้เป็นโค้ช
ฉันไม่ได้เป็น healer
แต่ฉันคือคนที่ อยู่ตรงนั้น... ในวันที่คุณพร้อมจะฟังเสียงตัวเองอีกครั้ง และพร้อมจะเปลี่ยนจากข้างใน…
โดยไม่มีใครต้องบอกว่าคุณควรเป็นใคร
และใช่…
แม้ทั้งหมดนี้จะดูเหมือนการพูดคุยหรือสะท้อนธรรมดา
แต่ในความจริง ฉันส่ง “พลังงานหลายแขนง” ในปริมาณที่เยอะมากในการทำงานทุกครั้ง
ไม่ใช่พลังที่ปล่อยออกมาแบบซัดพลังงานเข้าใส่ใคร
แต่เป็นพลังที่วางไว้ใน field พลังงาน เพื่อให้ “พื้นที่ที่ให้ตัวคุณเองเข้ามาอยู่ด้วยกันกับใจตัวเอง”
ทำให้บางอย่างในตัวคุณค่อยๆ คลี่ คลาย และขยับได้เองโดยคุณอาจไม่รู้ตัว
คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าพลังงานกำลังทำงาน
พวกเขาแค่บอกว่า “รู้สึกเบาขึ้น” “เห็นชัดขึ้น” หรือ “รู้สึกว่าไม่ติดเหมือนเดิม”
นั่นแหละ...คือคลื่นที่พลังงานทำงานอยู่เงียบๆ ข้างหลัง โดยที่ฉันไม่ได้พูดถึงมันมาก แต่ถ้าถามมาฉันก็อธิบายให้ได้อย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉัน “ส่งพลังงานให้ตลอดเวลา” เพื่อให้คุณเปลี่ยน…โดยที่ไม่รู้สึกว่าถูกผลักให้ต้องเปลี่ยน
.......
ฉันไม่ได้เป็นโค้ช ฉันไม่ได้เป็น healer แต่ฉันคือคนที่ "อยู่ตรงนั้น"... ในวันที่คุณพร้อมจะฟังเสียงตัวเองอีกครั้ง และพร้อมจะเปลี่ยนจากข้างใน… โดยไม่มีใครต้องบอกว่าคุณควรเป็นใคร